ความรู้เกี่ยวกับยาเสพย์ติดและการป้องกัน
บทลงโทษเกี่ยวกับยาเสพย์ติดให้โทษ
สถานที่ให้คำปรึกษาด้านการป้องกัน และแนะนำการบำบัดรักษาชั้นต้น
ยาเสพย์ติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม
คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ดีในทุกยุคทุกสมัย เนื่องจากทุกคนต่างทราบถึงพิษร้ายของยาเสพย์ติดกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์อันเนื่องมาแต่สาเหตุนี้ นับเป็นการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศใด ดังนั้นจงช่วยกันสอดส่องดูแลบุคคลในครอบครัว อย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติดไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
ยาเสพย์ติด หมายถึง สารเคมีหรือสารใดก็ตามที่เมื่อบุคคลเสพหรือรับเข้าทางร่างกายไม่ว่าจะโดยการฉีด สูบ กิน ดื่ม หรือวิธีอื่น ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อเสพไปได้สักระยะหนึ่งจะทำให้ผู้เสพแสดงออกมาตามลักษณะเหล่านี้
- ผู้เสพมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยาชนิดนั้นต่อเนื่องไป และต้องแสวงหามาเสพให้ได้ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม
- ผู้เสพจะเพิ่มปริมาณของยาที่เคยใช้มากขึ้นทุกระยะ
- ผู้เสพจะมีความปรารถนาอยากเสพยาชนิดนั้นอย่างรุนแรงจนระงับไม่ได้ คือ ติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ยาเสพติดบางชนิดก่อให้เกิดการติดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ยาเสพติดบางชนิด ก็ก่อให้เกิดการติดทางด้านจิตใจ เพียงอย่างเดียว การติดยาทางกาย เป็นการติดยาเสพติดที่ผู้เสพมีความต้องการเสพอย่างรุนแรง
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อถึงเวลาอยากเสพแล้วไม่ได้เสพ
จะเกิดอาการผิดปกติอย่างมาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเรียกว่า
"อาการขาดยา" เช่น การติดฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน เมื่อขาดยาจะมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน หาว น้ำมูกน้ำตาไหล นอนไม่หลับ เจ็บปวดทั่วร่างกาย เป็นต้น
เป็นการติดยาเสพติดเพราะจิตใจเกิดความต้องการ หรือ เกิดการติดเป็นนิสัย หากไม่ได้เสพร่างกายก็จะไม่เกิดอาการผิดปกติ หรือทุรนทุรายแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เพียงเกิดอาการหงุดหงิดหรือกระวนกระวายใจเท่านั้น
|
พบเห็นบุคคลที่มีลักษณะเข้าข่าย 6 ประการ ข้างต้น ก็ไม่ควรปล่อยให้บุตรหลานของท่านร่วมเสวนาด้วย เพราะคนเหล่านี้อาจเป็นพาหนะนำยาเสพย์ติดเข้ามาสู่ครอบครัวท่านก็เป็นได้
ทลายแหล่งยาบ้า .บุกจับปาร์ตี้ยาอี จนมาถึงคำว่า ยาเลิฟ ปรากฏทางสื่อมวลชนแทบทุกวัน คงสร้างความสงสัยให้ผู้อ่านมากทีเดียวว่าแท้ที่จริงแล้ว ยาบ้า ยาอี ยาเลิฟ คือยาอะไรกันแน่
ยาบ้า เดิมผู้เสพเรียกว่า ยาม้า แต่ด้วยฤทธิ์ของยาที่ทำให้ผู้เสพคลุ้มคลั่งคล้ายคนบ้าน จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น ยาบ้า ในยาบ้าจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่สำคัญ คือ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาททำให้ผู้เสพประสาทตึงเครียด ตกใจง่าย หงุดหงิด สับสน กระวนกระวายใจ นอนไม่หลับ แต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ผู้เสพจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก เพราะสมองและร่างกายขาดการพักผ่อน ประสาทจะล้า ทำให้การตัดสินใจช้าและผิดพลาด จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ การเสพยาบ้าเป็นระยะเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม มีอาการประสาทหลอน หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง อาจทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ ดังที่เป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) เป็นยาเสพย์ติดกลุ่มเดียวกัน จะแตกต่างกันบ้างในด้านโครงสร้างทางเคมี นอกจากชื่อยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซีแล้ว ยังมีชื่อเรียกในกลุ่มผู้เสพอีกหลายชื่อ เช่น Adam Batman Enjoy Essence ฯลฯ ส่วน ยาเลิฟ เป็นชื่อเรียกตามลักษณะอาการของผู้เสพ เพราะเมื่อเสพยาชนิดนี้แล้วจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ทำให้เกิดการมั่วเพศ
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยโดยชาวต่างชาติและชาวไทยที่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศนำเข้ามาเพื่อใช้เสพในกลุ่มของตน จากนั้นจึงเริ่มกระจายไปสู่กลุ่มวัยรุ่นนักเที่ยวที่ชอบการเต้นรำ จนเกิดปาร์ตี้ยาอีตามข่าว
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทในระยะสั้น ๆ หลังจากนั้นจะออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง ฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้เสพรู้สึกร้อนเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว การมองเห็นภาพและการรับฟังเสียงต่าง ๆ ผิดไปจากความเป็นจริง ผู้เสพจะรู้สึกคล้อยตามไปกับเสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่คนทั่วไปฟังแล้วรู้สึกแสบแก้วหูและรำคาญ แต่ผู้เสพยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี จะถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ยาให้เต้นรำไปตามจังหวะเพลงอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ซึ่งการเต้นรำอย่างหักโหมนี้เองที่ทำให้ร่างกายเสียเหงื่อมากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ช็อคและเสียชีวิตได้
ปัจจุบันผู้ติดยาเสพย์ติดได้หันไปเสพยาตัวอื่นที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายกว่าผลขาว ซึ่งก็คือ สารระเหยชนิดต่าง ๆ เช่น ทินเนอร์ผสมสี น้ำมันเบนซิน น้ำมันไฟแช็ก น้ำมันก๊าด น้ำมันแลคเกอร์ กาวชนิดต่าง ๆ น้ำมันชักเงา ยาทาเล็บ ตลอดจนสเปรย์ชนิดต่าง ๆ โดยหารู้ไม่ว่าสารเสพย์ติดประเภทนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าเฮโรอีนหลายเท่านักเพราะเฮโรอีน ทำให้สุขภาพทั่วไปทรุดโทรมก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความพิการถาวรให้แก่อวัยวะใด ๆ ในร่างกาย ซึ่งเมื่อเลิกเสพ เพียงพักฟื้นไม่นานสุขภาพก็จะแข็งแรงกลับสู่สภาพปรกติได้ แต่สารระเหยเหล่านี้ เมื่อเสพจนติดเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายเป็นโรคหรือมีความพิการถาวรและไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด สมองพิการ ตับพิการ พิการทางพันธุกรรม
พิษของสารระเหยต่อร่างกาย หากเสพไปนาน ๆ จะเกิดอาการได้ 2 แบบ คือ
- พิษระยะเฉียบพลัน
- พิษระยะเรื้อรัง
เมื่อสูดดมสารระเหยเข้าไปในกระเพาะอาหารก็จะดูดซึมเข้าไปในหลอดเลือดไหลเวียนไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายโดยจะไปออกฤทธิ์โดยตรงด้วยการไปกดสมองส่วนกลาง ดังนั้นพอสูดดมไปไม่กี่นาทีจะเกิดอาการเมาที่คล้ายคนเมาเหล้า คือ เวียนหัว ตาพร่า เวลาดูอะไรจะเพ่งจะจ้องเหมือนตาขวาง ลิ้นไก่สั้น เดินโซเซ ง่วงซึม จิตใจครึกครื้น เห่อเหิม คึกคะนอง ซึ่งอาจทำให้ก่ออาชญากรรมได้ สติปัญญาทึบ มีหูแว่ว เกิดประสาทหลอน เกิดความคิดแบบหลงผิด หากสูดดมต่อไปนาน ๆ จะทำให้อาการโคม่าถึงตายได้ซึ่งมักจะมีสาเหตุจากการสูดยาเกินขนาด ทำให้ยาไปกดที่ศูนย์ควบคุมการหายใจและหยุดหายใจในที่สุด นอกจากนี้ยายังไปออกฤทธิ์ต่อหัวใจทำให้หัวใจเต้นเร็วและไม่เป็นจังหวะ
สำหรับกลุ่มคนต่าง ๆ ที่มักจะเสพสาระเหยเหล่านี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เยาวชนของชาติ ซึ่งกำลังศึกษาในระดับมัธยมต้นและปลาย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และในจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มว่ามีการเสพย์ติดจาชนิดนี้อย่างแพร่หลาย และเด็กเหล่านี้จะมีอายุระหว่าง 8-10 ปี โดยเสพกันเป็นกลุ่ม ในวัด ในห้องที่ลับตาคน โดยใช้สำลี ผ้าเช็ดหน้าหรือเสื้อยืดชุบทินเนอร์จนชุ่มแล้วสูดดมเข้าปอดหมุนเวียนส่งต่อไปจนเมามาย บางคนอาจฉีดสเปรย์เข้าตู้เสื้อผ้าและตู้ลับ แล้วยื่นหน้าเข้าสูดดม
จะเห็นได้ว่ายาเสพย์ติดพวกสารระเหยนี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของใช้แทบทุกครัวเรือน หรือหาซื้อ ได้ทุกแห่ง มีราคาถูก และทุกชนิดมีกลิ่นหอม และทุกชนิดมีกลิ่นหอมที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยชอบกลิ่น จึงทำให้เสพย์ติดได้ง่ายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิง
ตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 ได้กำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้นำสารระเหยมาใช้ในทางที่ผิดไว้หลายประการ และกำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดและต้องโทษ ดังนี้
1. กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ขายสารระเหย ต้องจัดให้มีภาพหรือข้อความที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสารระเหย เพื่อเป็นการเตือนให้ระวังการใช้สารดังกล่าว ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ห้ามไม่ให้ผู้ใดขายสารระเหยแก่ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 17 ปี เว้นแต่เป็นการขายโดยสถานศึกษาเพื่อใช้ในการเรียนการสอน ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
3. ห้ามไม่ให้ผู้ใดขาย จัดหา หรือให้สารระเหยแก่ผู้อื่นซึ่งตนรู้หรือควรรู้ว่าเป็นผู้ติดสารระเหย ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ห้ามไม่ให้ผู้ใดจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม หรือใช้อุบายหลอกลวงให้บุคคลอื่นใช้สารระเหย บำบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. ห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้สารระเหยบำบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ไม่ว่าด้วยวิธีสูดดมหรือวิธีอื่นใด ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พึงระลึกไว้เสมอว่าการเสพสารระเหยนอกจากจะเป็นโทษต่อร่างกายแล้วยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
บทลงโทษเกี่ยวกับยาเสพย์ติดให้โทษชนิดอื่น
เฮโรอีน
- ผู้จำหน่ายหรือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง น้ำหนักไม่เกิน 100 กรัม จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง
ตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท
- เกิน 100 กรัม ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
- มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท
- ผู้เสพเฮโรอีนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท
กัญชา
- มีกัญชาไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายหรือผลิต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้ง
แต่ 20,000-150,000 บาท
- ผู้ใดเสพกัญชา จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- มีกัญชาไว้ในครอบครอง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ยาบ้า
- ผู้ผลิต นำเข้าหรือส่งออกยาบ้าเพื่อจำหน่าย มีโทษประหารชีวิต
- มียาบ้าตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป (สารบริสุทธิ์) ถือเป็นการกระทำเพื่อจำหน่ายมีโทษ
ประหารชีวิต
- จำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่เกิน 100 กรัม (สารบริสุทธิ์) โทษจำคุก 5 ปี ถึง
ตลอดชีวิต และปรับ 50,000-500,000 บาท
- เกิน 100 กรัม โทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
- ครอบครองไม่เกิน 20 กรัม โทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 10,000-100,000 บาท
- ผู้เสพโทษจำคุก 6 เดือน - 10 ปี ปรับ 5,000-100,000 บาท
1. ป้องกันตนเอง ไม่ใช้ยาโดยไม่รับคำแนะนำจากแพทย์และอย่าทดลองเสพยาทุกชนิดโดยเด็ดขาด
2. ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็กและบุคคลในครอบครัว อย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติด ต้องคอยอบรมสั่งสอนให้รู้ถึงโทษและภัยของยาเสพย์ติดที่สำคัญ ควรให้ความรักความอบอุ่นกับลูกหลาน เพราะความรักของครอบครัวจะเป็นปราการสำคัญต้านภัยยาเสพย์ติดได้ หากมีผู้เสพยาในครอบครัวควรจัดการให้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลให้หายเด็ดขาดอย่าแสดงความรังเกียจหรือดูหมิ่นควรให้กำลังใจให้ความรักต่อเขา และการรักษาแต่เริ่มแรกที่ติดยามีโอกาสหายได้เร็วกว่าปล่อยไว้นาน ๆ
3. ป้องกันเพื่อนบ้าน ช่วยชี้แจงเพื่อนบ้านให้เข้าใจถึงโทษและภัยของยาเสพย์ติด หากพบว่าเพื่อนบ้านติดยาเสพย์ติด อย่าแสดงความรังเกียจ ควรช่วยแนะนำให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
4. ป้องกันโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ เมื่อทราบว่าสถานที่แห่งใด มียาเสพย์ติดแพร่ระบาด ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกแห่งทุกท้องที่ทราบ หรือที่ศูนย์ปราบปรามยาเสพย์ติดให้โทษ กรมตำรวจ โทร. 252-7962 , 252-5932 หรือ 1688 และที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด (ป.ป.ส.) สำนักนายกรัฐมนตรี โทร. 245-9350-9
หากพบเห็นบุคคลใดมีอาการลงแดงอันเนื่องจากการติดยาเสพย์ติด ขอให้ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
1. อย่าตื่นตระหนก พยายามสงบสติอารมณ์ตนเอง
2. พยายามให้ผู้ติดยาอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์อย่างเพียงพอ
3. ให้ผู้ติดยานอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้อาเจียนปิดกั้นทางเดินหายใจพร้อมทั้ง
4. อย่าปล่อยให้ผู้ติดยาอยู่เพียงลำพัง
5. เรียกรถพยาบาลโดยเร็วที่สุด
6. เก็บตัวอย่างยาเสพย์ติดไว้ให้แพทย์วินิจฉัย
สถานที่ให้คำปรึกษาด้านการป้องกัน และแนะนำการบำบัดรักษาชั้นต้น
1. สำนักงานศึกษาป้องกันการติดยา (กระทรวงสาธารณสุข) โทร. 282-4180-5
2. สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ศูนย์อาสาสมัครยาเสพย์ติดตึกมหิดล โทร.245-5522
3. ศูนย์สุขวิทยาจิต โทร. 281-5241
4. สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย โทร. 245-2733
5. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด(ป.ป.ส.) โทร.245-9340-9